ท่องป่าภูหินล่องก้า

บนความสูงกว่า 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” ทอดตัวสงบเงียบอยู่บนเทือกเขาอันสลับซับซ้อน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เลย และเพชรบูรณ์ นั้นเป็นที่รวมของความหลากหลายทางธรณีวิทยา และชีวภาพ ท่ามกลางความงดงามตามธรรมชาติ

Photo by Bill45

เราทราบเพียงว่าอุทยานฯ แห่งนี้ เป็นแหล่งชมธรรมชาติที่สวยงามและหนาวเย็นตลอดทั้งปี และเมื่อเดินทางมาถึงศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวแล้ว จึงทราบเพิ่มเติมว่าอุทยานฯ นี้มีพื้นที่ 307 ตารางกิโลเมตร มียอดสำคัญ คือ ภูแผงม้า ภูขี้เถา ภูหมันขาว ภูลมโล และภูหินร่องกล้า โดยมีภูหมันขาวเป็นยอดสูงสุดประมาณ 1,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล ปานกลาง

โรงเรียนสอนการเมืองของ พ.ค.ท. Photo by Jarun Tedjaem

ก่อนที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอย่างทุกวันนี้ ที่นี่เคยเป็นสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ ในราว พ.ศ. 2511 เทือกเขานี้เป็นฐานที่มั่นใหญ่ของการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิตส์ และเหตุการณ์นี้ได้สงบราบคาบลงเมื่อปี พ.ศ. 2525 หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2527 ภูหินร่องกล้าจึงได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 48 ของประเทศไทย

ลานหินแตก Photo by Zack Stock Photo

จากนั้นเราจึงขับรถไปยังฐานฯ พัชรินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเข้าลานหินแตก ผลงานของธรรมชาติที่น่าพิศวง รอยแยกตัวของหินเป็นริ้วทางเดียวกัน ในพื้นที่ประมาณ 40 ไร่ รอยแตกเป็นร่องลึกจนบางครั้งก็ไม่สามารถมองเห็นรอยนั้นจะไปสิ้นสุดที่ใด ได้ยินเพียงเสียงไหลรินของสายน้ำเบื้องล่างตลอดเวลา ทั่วทั้งบริเวณมีความชื้นสูง สภาพเป็นป่าก่อ สนเขา ซึ่งมีทั้งสนสองใบ สามใบ และพรรณไม้อื่นๆ รวมกว่า 50 ชนิด เช่น เอื้องข้อต่อ  ม้าวิ่ง  เอื้องงาช้าง  เฟินหางสิงห์  กุหลาบขาว เป็นต้น ทั้งยังมีไลเคนสีส้ม ซึ่งเป็นตัววัดความบริสุทธิ์ของอากาศ ทั่วบริเวณจะมีสะพานทอดให้สามารถเดินได้อย่างสะดวกปลอดภัย ไปจนถึงหน้าผาที่นั่งชมพระอาทิตย์ตก และสามารถมองเห็นพื้นที่อำเภอนครไทยอยู่เบื้องล่าง

ที่กำบังธรรมชาติ Photo by Vatchara Ruttikul

เย็นย่ำแล้ว สายลมเย็นพัดผ่านผิวกาย คืนนี้เราค้างคืนในบ้านพักที่จองไว้กับอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เป็นบ้านพัก 2 ห้องนอน ที่สะดวกสบายทีเดียว

เช้าวันใหม่ในบรรยากาศที่สดใส หลังจากที่เรานอนฟังเสียงสายฝนพร่ำจนม่อยหลับไปอย่างมีความสุข ข้าวต้มร้อน ๆ ตบท้ายด้วยกาแฟร้อนหอมกรุ่น เท่านี้เราก็เรียกพละกำลังให้กลับคืนมาสำหรับที่จะออกไปชมธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน โปรแกรมวันนี้เราเริ่มกันที่ กม. 2 เป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ และได้ศึกษาธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน เราจะเที่ยวแบบไม่รีบเร่งนัก ที่สำคัญควรเตรียมน้ำดื่ม และอาหารสำหรับมื้อกลางวันง่าย ๆ ติดตัวไปด้วย เวลาประมาณ  9.30  น. เริ่มออกเดินผ่านลานกว้าง เลี้ยวซ้ายผ่านป่าดิบไปยัง “สำนักงานอำนาจรัฐ” เป็นศูนย์กลางการปกครองของ พ.ค.ท. ที่อยู่ในชัยภูมิที่ซ่อนเร้น ต้องเดินเรียงหนึ่งผ่านกำแพงผาหินธรรมชาติเข้าไป จึงง่ายต่อการรักษาความปลอดภัยในสมัยนั้น และยังมีที่หลบภัยทางอากาศเป็นผาหินเทิบอยู่ในบริเวณใกล้กัน

บีโกเนีย เฟิน มอส ที่อุดมสมบูรณ์ Photo by Jamikorn Sooktaramorn

หลังจากเดินดูรอบ ๆ แล้ว ก็กลับออกมายัง “ลานเอนกประสงค์” ซึ่งเป็นลานกว้าง ณ ที่นี่ยังมีปืนต่อสู้อากาศยานติดตั้งอยู่ และมีร่องรอยกระสูนที่กระหน่ำยิงลงมาจากอากาศ อยู่ตามพื้นหินอีกด้วย ด้านข้างลานเอนกประสงค์มีกำแพงหินทราย (Suncrack) ซึ่งเป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาว่าภูหินร่องกล้าเคยจมอยู่ใต้ทะเลลึก เมื่อประมาณกว่า 50 ล้านปีก่อนโน้น และได้โก่งตัวขึ้นมาเป็นภูสูงเสียดฟ้าอย่างทุกวันนี้ เพราะถูกแรงบีบอัดของเปลือกโลกนั้นเอง เราเดินผ่านป่าละเมาะและลานหินทรายโล่ง ซึ่งบางช่วงมีความงดงามดั่งใครมาจัดสวนหย่อมไว้ก็ไม่ปาน ดูสวยงามสอดคล้องกันไปหมด ทั้งลานหิน ก้อนหิน มอส  ตะไคร้ ไลเคน และพืชพรรณต่างๆ

เลี้ยวซ้ายอีกครั้งหนึ่ง ไปตามทางเดินผ่านป่าเพื่อมุ่งไป “ผาชูธง” สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินเท้าไกลๆ ขอแนะนำว่าอย่ารีบร้อน เหนื่อยก็หยุดชมนกชมไม้ ชมผีเสื้อ แมลงตัวเล็ก ๆ ไปตามเรื่อง เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และหยุดระยะให้หัวใจได้ปรับตัวสูบฉีดโลหิตได้ดีขึ้น เมื่อคลายเหนื่อยแล้วก็ค่อยเดินต่อไป ผาชูธงเดิมเป็นฐานการชักธง ค้อน-เคียว บนพื้นแดง ทุกคราที่ พ.ค.ท. ได้รับชัยชนะจากการสู้รบ  ผาชูธงนี้เป็นหน้าผาสูงในระดับ 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีสภาพเป็นหน้าผาตัดดิ่งลงเบื้องล่าง จึงเป็นหอสูงที่คอยสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกองกำลังเบื้องล่างได้เป็นอย่างดี

น้ำตกร่มเกล้าภราดร Photo by SUWIT NGAOKAEW

หลังจากปีนขึ้นไปโต้ลมหนาว ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบนผาชูธงกันแล้ว เราก็ค่อย ๆไต่ลงมาข้างล่าง เดินลัดเลาะไปตามโขดหิน ที่มีพรรณไม้นานาชนิดแทรกตัวอยู่ ช่วงนี้กุหลาบขาวเริ่มคลี่บาน แซมด้วยดอกเอื้องงาช้าง สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทำให้รู้สึกสดชื้น เมื่อถึงหน้าผาลานหินปุ่ม ก็หาที่นั่งเหมาะ ๆ นำอาหารกลางวันออกมารับประทานพอได้อิ่มท้อง

ลานหินปุ่ม คือ ลานหินที่มีหินปุ่มวางเรียงต่อเนื่องกัน โดยมีความกว้างยาวปุ่มละไม่เกิน 1 ฟุต เกิดจากการกัดเซาะของลมและน้ำที่กัดเอาหินที่อ่อนกว่าย่อยสลายออกไป ตลอดเวลาหลายล้านปี จนเหลือเพียงส่วนที่แข็งแกร่ง กลายเป็นปุ่มปมอย่างที่เห็นนี้ ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามและบรรยากาศสบายๆ พ.ค.ท. จึงใช้ที่นี่เป็นที่พักฟื้นผู้ที่บาดเจ็บจากการสู้รบ เรานั่งอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่ จึงออกเดินกลับออกมา กม.2 ระยะทางอีกราว 1 กิโลเมตร

ราวบ่าย 2 โมง ขับรถต่อไปยังน้ำตกร่มเกล้า-ภราดร ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนการเมืองการทหารเพียง 600 เมตร มีทางเดินแยกลงน้ำตกอีกประมาณ 400 เมตร ก็พบน้ำตกร่มเกล้า เดินลงไปอีก 200 เมตร ก็จะพบน้ำตกภราดร เป็นน้ำตกที่ไหลแรงสวยงามอยู่ท่ามกลางป่าดิบสมบูรณ์ แต่ไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ จึงได้แต่เพียงสัมผัสความชุ่มฉ่ำของละอองน้ำ และซึมซับความงามทางสายตาเท่านั้น รอบ ๆ บริเวณร่มครึ้ม มีพรรณไม้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ มอส เฟิน พรรณไม้ดอกต่าง ๆ ไม้ก่อ ไม้สน ฯลฯ

ลานหินปุ่ม Photo by martinho Smart

เย็นย่ำแล้ว ต่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็อิ่มเอมด้วยความสุข กลับที่พัก รับประทานอาหารค่ำมื้อใหญ่ แล้วเข้านอนกันแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกลับบ้านหลังอาหารเช้า โดยลงจากอุทยานฯ ทางด้านอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อจะได้ชมวิวที่สวยงาม และแวะรับประทานขนนจีนชาวหล่มเก่าที่ขึ้นชื่อด้วย

การเดินทาง

จากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ จ.สระบุรี ทางหลวงหมายเลข 1 เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 21 เข้าสู่ จ.เพชรบูรณ์ ผ่าน อ. หล่มสัก เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก-พิษณุโลก ซึ่งเป็นถนนสายหนึ่งที่มีทัศนียภาพสองฟากฝั่งสวยงาม เมื่อถึงสามแยกบ้านแยง เข้าทางหลวงหมายเลข 2013 อ.นครไทย เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2331 เป็นเส้นทางขึ้นอุทยานฯ ภูหินร่องกล้า อีกเส้นทางหนึ่ง คือ จาก อ.หล่มสัก เข้าทางหลวงหมายเลข 2011 ผ่านบ้านแก่งเสี้ยว ไปถึงสามแยก ร.พ.ช. เข้าเขต อ. หล่มเก่า เลี้ยวซ้ายขึ้นอุทยานฯ ภูหินร่องกล้า ใช้เวลาเดินทางราว 7 ชม.  

ข้อควรระวัง

ไม่กระโดดข้ามรอยแตกในลานหินแตก หรือผาหินปุ่มเป็นอันขาด ควรเดินตามทางเดินที่ทอดไว้ให้ เตรียมนำไฟฉายติดตัวไปด้วยเสมอ เพื่อส่องทางเดินในช่วงใกล้ค่ำ ให้นำขยะและเศษสิ่งเหลือใช้กลับออกมาทิ้งในถังขยะภายนอกพื้นที่ป่า