ผู้สูงอายุควรซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์?

บ้านพักคนชราและ/หรือสถานดูแลผู้สูงอายุไม่เหมาะสำหรับทุกคน แม้ว่าบ้านพักเหล่านี้จะมีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับผู้สูงอายุ โดยได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อแก้ปัญหาการเคลื่อนไหวร่างกาย ความปลอดภัย และการดูแลสุขภาพ แต่ก็มีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ต่อต้านการย้ายไปยังบ้านพักคนชราดังกล่าว และการตัดสินใจของพวกเขาต้องได้รับการเคารพในสิทธิของการเลือกใช้ชีวิตเมื่อสูงวัยตามที่ต้องการ

Photo by Richard Sagredo

ผู้สูงอายุจำนวนมากกลัวว่าตนเองจะรู้สึกว่าบ้านพักคนชราที่ปลอดภัยเหล่านี้จะเข้าครอบงำจนทำให้แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว สูญเสียความเป็นส่วนตัวและอิสระภาพ และอาจถูกครอบครัวทอดทิ้ง อย่างไรก็ตาม ความกลัวที่พบบ่อยที่สุดคือการย้ายไปยังสภาพแวดล้อมที่ไม่พึ่งพอใจ เข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่น่าหดหู่ใจ ที่ไม่ทำให้เชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยในบ้านที่ทำให้รู้สึกสบายใจและปลอดภัย

ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งเห็นว่าบ้านกลายเป็นภาระเกินกว่าจะจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็นทางการเงินหรือร่างกาย คำถามคือผู้สูงอายุควรซื้อหรือเช่าบ้าน ?

Photo by Kelsey Dody

การซื้อบ้านใหม่สำหรับคนที่ไม่มีเงินทุนเพียงพอ ต้องพึ่งเงินกู้ธนาคารอีกจำนวนหนึ่ง นั้นหากต้องมีการค้ำประกันนั้นไม่สามารถทำได้จริง และธนาคารเพียงไม่กี่แห่งจะอนุมัติสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านสำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินจะพิจารณาและประเมินบุคคลแต่ละคนเป็นรายกรณี หากทรัพย์สินที่มีอยู่ปลอดภาระค้ำประกัน การขายบ้านน่าจะทำให้ได้ราคาที่ทำให้เจ้าของบ้านสามารถซื้อทรัพย์สินที่มีขนาดเล็กลงได้ แต่ยังคงมีเงินเหลือไว้ใช้หลังเกษียณ

ปัจจัยที่สำคัญคือค่าใช้จ่ายรายเดือนพื้นฐาน โดยคำนึงถึงว่าตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้รวมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยหรือการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ ซึ่งรวมถึงค่าอาหารเฉลี่ย 3,000-6,000 บาทต่อเดือน ค่าเช่า 10,000-20,000 บาท ค่าน้ำค่าไฟ 400-800 บาท และอื่นๆ ประมาณ 3,000-6,000 บาทต่อเดือน รวมประมาณ 15,500-32,800 บาทต่อเดือนนั้นไม่รวมภาระผูกพันอื่นๆ เช่น การดูแลสัตว์เลี้ยง การทำความสะอาดบ้าน ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ

โดยถือว่าผู้สูงอายุมีเงินทุน 2 ล้าน 5 แสนบาท จะสามารถเช่าทรัพย์สินที่จ่ายขั้นต่ำนั้นได้ 160 เดือน หรือ 13 ปี

ส่วนการจ่ายค่าเช่าทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายจำเป็นที่เดือนละ 32,800 บาท ใน 160 เดือนนั้นต้องจ่ายถึง 5,248,000 บาท

แต่สำหรับผู้ที่มีเงินทุนและต้องการมอบทรัพย์สินให้ตกทอดกับทายาทก็สามารถหาซื้อบ้านและที่ดินในราคาตั้งแต่ 2-5 ล้านบาท ในสภาพแวดล้อมที่ดีได้การไม่ต้องจ่ายค่าเช่าทำให้ค่าครองชีพลดลงเหลือประมาณ 6,000-13,000 บาท/เดือน ผู้สูงอายุยังคงมีทรัพย์สินที่สามารถขายได้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งน่าจะสร้างกำไรได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังสามารถให้เช่าทำได้อีกด้วย

ตลาดในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือไม่ก็ตาม อาจมีทรัพย์สินที่เป็นบ้านที่ดิน แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ต้องจัดการอีกมากจนเกินความสามารถ ก็มีผู้คนจำนวนมากต้องการหรือจำเป็นต้องลดขนาดลง และส่วนใหญ่พวกเขาปล่อยทิ้งไว้จนนานเกินไป และมีความเสี่ยงที่ทรัพย์สินปัจจุบันของพวกเขาทรุดโทรมล้าสมัยและไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี

เรื่องนี้มักส่งผลเสียต่อมูลค่าของทรัพย์สิน นอกจากนี้ การย้ายเข้าไปอยู่ในที่ใหม่ๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เพื่อรองรับความต้องการของผู้สูงอายุ ก็มีค่าใช้จ่ายสูง และสถานที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่มักมีรายชื่อรออยู่เป็นหางว่าวทีเดียว หากบุคคลใดจำหน่ายทรัพย์สินเร็วกว่าและจัดการซื้อบ้านใหม่ในสภาพที่พอใจและเล็งเห็นว่าสามารถจัดการได้ในอนาคต ก่อนที่จะหมดวาระที่เกษีนณอายุ จะยังมีเวลาอย่างน้อย 10 ปีในการชำระเงินค่าทรัพย์สินใหม่ในช่วงเวลาที่ยังทำงานอยู่

สิ่งที่เราเรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ เวลาของการเป็นเจ้าของทรัพย์สินเป็นเรื่องสำคัญ การวางแผนล่วงหน้าทำให้การตัดสินใจดังกล่าว ทำให้สามารถเลือกบ้าน และสิ่งแวดล้อมที่มีผลบวกต่อการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี ซึ่งรวมทั้งทางเลือกอื่นสำหรับผู้สูงอายุคือการซื้อบ้านสำหรับครอบครัวใหญ่ โดยพ่อแม่หรือผู้ปกครองจะช่วยลูกๆ ซื้อบ้านที่พ่อแม่สามารถอาศัยอยู่บนที่ดินเดียวกันนั้นได้ ครอบครัวไม่เพียงแต่จะประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์ทางการเงินและจากมุมมองด้านไลฟ์สไตล์อีกด้วย ซึ่งบ้านในสวนหลังเดิมได้มีบ้านหลังเล็กหลังที่สองบนที่ดินนั้นเพื่อพ่อแม่ในยามสูงวัย

การตัดสินใจเหล่านี้มีความซับซ้อนมากเนื่องจากต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ มากมาย ผู้สูงอายุในวัยเกษียณควรจำไว้ว่าการเป็นเจ้าของทรัพย์สินต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ภาษีและค่าธรรมเนียมเทศบาล การบำรุงรักษาทรัพย์สิน ประกันภัย เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ถือเป็นความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของผู้เช่าเมื่อทำการเช่า

ข้อดีของการเป็นเจ้าของทรัพย์สินของตนเองก็คือความมั่นคงเมื่อเปรียบเทียบกับการเช่า และอาจถูกบังคับให้ย้ายออกหากเจ้าของบ้านตัดสินใจขาย ซึ่งอาจทำให้เกิดความทุกข์ยากทางการเงิน และความวุ่นวายทางอารมณ์อีกด้วย

การผูกมัดความมั่งคั่งส่วนใหญ่ไว้กับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยไม่ได้สร้างรายได้ใดๆ นอกจากต้องจ่ายดอกเบี้ยแล้ว อาจทำให้เกิดข้อจำกัดด้านกระแสเงินสดได้ หากไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนที่อยู่ในตำแหน่งที่จะช่วยเหลือทางการเงินในยามจำเป็น อาจทำให้ผู้สูงอายุอยู่ในสถานะทางการเงินที่ยากลำบากมาก

อย่างไรก็ตาม การเช่าช่วยให้มีสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้สูงอายุทุกคน บางคนที่มีบัญชีเงินฝากประจำที่ยอดสูงพออาจมีรายได้จากดอกเบี้ยรายปีประมาณหนึ่งจึงสามารถนำไปชำระค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ และจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสภาพคล่องทางการเงินในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด ซึ่งต้องมีเงินทุนจำนวนมาก เมื่อเช่าบ้าน สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงการปรับขึ้นค่าเช่ารายเดือนประจำปี ซึ่งหากพิจารณาจากการปรับขึ้นค่าเช่ารายเดือนเฉลี่ยของประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 7-8% ต่อปี ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงเวลา 15 ปี

ในช่วงบั้นปลายชีวิต การดูแลทางการแพทย์ การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง และการพิจารณาอื่นๆ กลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เมื่อไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเกษียณอายุที่มีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ อาจต้องมีการดูแลที่บ้านแบบเต็มเวลาโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีคำตอบเดียวที่เหมาะกับทุกคน และการตัดสินใจควรขึ้นอยู่กับสถานการณ์และลำดับความสำคัญเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุที่จะปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงิน สมาชิกในครอบครัว และผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้คนอื่นๆ เพื่อชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียของแต่ละตัวเลือก และตัดสินใจอย่างรอบรู้ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความชอบของพวกเขา