อัคระ อินเดีย

เมืองประวัติศาสตร์แห่งความรุ่งเรืองของจักรวรรดิ์โมกุล

เมืองอัคระ เริ่มโด่งดังในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุล อันยาวนานตั้งแตปี ค.ศ. 1556 ถึง ค.ศ. 1658 อันเป็นช่วงกำเนิดของโบราณสถานสำคัญในปัจจุบัน  อาทิ  ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ป้อมอัคระ(Akra Fort) และฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehpur Sikri) ซึ่งโบราณสถานโมกุลทั้งสามแห่งนี้ได้ถูกยกขึ้นเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก

Photo by Ankit Gupta on Unsplash

ทัชมาฮาล นั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันที่มีแก่พระมเหสีของพระองค์ คือ พระนางมุมตาซ มหัล ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และหนึ่งในโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากทั้งสามแห่งในเมืองอัคระ

ทัชมาฮาล Photo by Derek Story on Unsplash

ทัชมาฮาลสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1653 โดยสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันแห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อเป็นที่พักพิงหลังสุดท้ายของพระมเหสีของพระองค์ สร้างจากหินอ่อนสีขาว จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดในประเทศอินเดีย โดยก่อสร้างได้อย่างสมมาตร  ซึ่งกินเวลาถึง  22  ปี ( ปี ค.ศ. 1630 – ค.ศ. 1652 ) ด้วยแรงงานกว่า 20,000 คน เพื่อสร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ได้รับการรังสรรค์อย่างสวยงาม โดยสถาปนิกชาวเปอร์เซีย อุซถัด อิซา  ตั้งอยู่บนริมแม่น้ำยมนา  ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจากบริเวณป้อมอัคระ  ที่ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันทรงใช้เวลา 8 ปี สุดท้ายของพระชนม์ชีพเฝ้ามองทัชมาฮาล 

ลวดลายเครือไม้และจารึกอักษรทัชมาฮาล Photo by Meriç Dağlı on Unsplash

ทัชมาฮาล นี้ ยังถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งความสมมาตร และยังมีประโยคจากคัมภีร์อัลกุรอานสลักอยู่โดยรอบ และบริเวณยอดของประตู ประกอบด้วยโดมขนาดเล็กถึง 22 แห่ง ซึ่งแสดงถึงจำนวนปีที่ใช้สร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้  บริเวณฐานของอาคารหลักเป็นหินอ่อนสีขาว ซึ่งซ้อนอยู่บนหินทรายซึ่งเป็นฐานชั้นล่างสุด โดมหลังที่ใหญ่ที่สุดวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 60 ฟุต (18 เมตร)  ซึ่งภายใต้นั้นเป็นบริเวณที่ฝังพระศพของพระนางมุมตาซ มหัล ซึ่งต่อมาได้มีการสร้างหลุมพระศพของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันเคียงข้างกัน โดยสมเด็จพระจักพรรดิออรังเซ็บ (Aurangzeb) ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ ภายในอาคารนั้นตกแต่งด้วยงานฝีมืออันวิจิตรฝังอัญมณีต่างๆ

การตกแต่งภายในป้อมอัคระ Photo by Rowan Heuvel on Unsplash

ป้อมอัคระ (บางครั้งเรียก ป้อมแดง) สร้างโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ (Akbar) แห่งราชวงศ์โมกุลในปี ค.ศ. 1565 และเป็นอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของอัคระ หลักศิลาจารึกที่พบบริเวณประตูทางเข้าระบุว่าป้อมแห่งนี้ถูกสร้างก่อนปี ค.ศ. 1000 และต่อมาได้รับการบูรณะโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ป้อมที่ทำจากหินทรายสีแดงแห่งนี้ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระราชวังในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน และถูกผสมผสานด้วยองค์ประกอบของหินอ่อนและตกแต่งแบบฝังพลอย ที่เรียกว่า “ปิเอตรา ดูร่า” (pietra dura) อาคารหลักๆ ภายในป้อมอัคระ ได้แก่ มัสยิดไข่มุก (Moti Masjid) ท้องพระโรง พระราชวังพระเจ้าชะฮันคีร์ (Jahangir Palace) ตำหนักมูซัมมัน เบิร์จ (Musamman Burj) เป็นต้น

ท้องพระโรงในป้อมอัคระ Photo by Annie Spratt on Unsplash

โครงสร้างภายนอกเป็นป้อมปราการอันหนาแน่น ซึ่งทำหน้าที่ปิดบังความงามดุจสวรรค์ที่อยู่ภายใน ป้อมปราการโดยรอบนั้นสร้างในรูปเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นทางฝั่งทิศตะวันออก ซึ่งเป็นกำแพงตรงและยาวขนาบแม่น้ำ มีความยาวเป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นถึง 2.4 กิโลเมตร (1.5 ไมล์) และมีกำแพงขนาดใหญ่ซ้อนถึงสองชั้น และมีมุขป้อมยื่นออกมาเป็นระยะๆ ตลอดความยาว และมีคูเมืองขนาดความกว้าง 9 เมตร (30 ฟุต) และลึกถึง 10 เมตร (33 ฟุต) ล้อมรอบกำแพงชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง

The Maratha Empire /Photo: https://www.hindustantimes.com/

สมเด็จพระจักรพรรดิศิวจีแห่งจักรวรรดิมราฐา (Maratha Empire) เคยเสด็จมาภายในป้อมแห่งนี้ที่อาคารท้องพระโรง  เพื่อลงพระนามในสนธิสัญญาปูรันดาร์ (Treaty of Purandar) กับสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซ็บ โดยการคุมตัวของราชบุตรใจสิงห์ (Jai Singh I) ผู้เป็นแม่ทัพของจักรวรรดิโมกุล ซึ่งในการเข้าเฝ้าครั้งนั้นพระองค์ถูกจัดที่ประทับบริเวณด้านหลังของผู้มีบรรดาศักดิ์ที่ต่ำกว่า จึงทรงกริ้วอย่างมากเนื่องจากถูกลบหลู่หมิ่นพระเกียรติ และถูกจับกุมโดยราชบุตรใจสิงห์ (Jai Singh I)และคุมขังไว้ที่นั่นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1666 และต่อมาทรงหลบหนีได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1666 เนื่องจากเกรงว่าจะถูกประหารโดยสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซ็บ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มีการสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระจักรพรรดิศิวจี ด้านนอกของป้อมอัคระ เพื่อแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของพระองค์

มหาราชกับเครื่องทรงอันงดงาม /Photo: Indian Filmy Station

ป้อมปราการแห่งนี้จัดเป็นผลงานตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโมกุล ซึ่งเป็นแบบอย่างของป้อมปราการของอินเดียตอนเหนือ ซึ่งแตกต่างจากของอินเดียตอนใต้ ซึ่งมักจะสร้างยื่นลงไปในทะเล หรือหน้าผาริมน้ำ อาทิ  ป้อมปราการแห่งเบกาล ในรัฐเกรละ เป็นต้น

แม้เมืองอัคระจะมีความรุ่งเรืองในช่วงเวลาหนึ่งของจักรวรรดิ์โมกุล แต่ก็เป็นอดีตเมืองหลวงที่เก่าแก่ของอินเดีย ในสมัยที่ยังเรียกว่า “ฮินดูสถาน” (Hindustan) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมนา (Yomuna) ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียในรัฐอุตตรประเทศ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลัคเนา (Lucknow) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทาง 363 กิโลเมตร (226 ไมล์) และ 200 กิโลเมตร (124 ไมล์) ทางทิศใต้ของกรุงนิวเดลี เมืองอัคระมีประชากรทั้งหมด 1,686,976 คน (สถิติปี ค.ศ. 2010) ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในรัฐอุตตรประเทศ และอันดับที่ 19 ในประเทศอินเดีย 

อัคระ เคยถูกกล่าวถึงในมหากาพย์มหาภารตะ โดยถูกเรียกว่า “อัครวนา” (Agrevana) แปลตามศัพท์สันสกฤตว่า “นครชายป่า” และยังเกี่ยวข้องกับพระฤๅษีอังคีรส หนึ่งในสิบมหาฤๅษีของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่ถ้าพูดถึงการสร้างเป็นเมืองนั้น ตำนานกล่าวว่าเกิดขึ้นในสมัยเจ้าเชื้อสายราชบุตรชื่อ “ราชปฎลสิงห์” (Raja Badal Singh) เมืองนี้เคยผ่านสมรภูมิครั้งใหญ่ๆ เมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน มีการเปลี่ยนผู้ครองเมืองเป็นระยะ

กษัตริย์องค์แรกที่ย้ายเมืองหลวงจากเดลีไปยังอัคระได้แก่ “สุลต่านสิกันดร โลที” (Sultan Sikandar Lodi) เมื่อ ค.ศ. 1506 (ยุคกรุงศรีอยุธยา) จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1517 “สุลต่านอิบราฮิม โลที” (Ibrahim Lodi) พระโอรส ปกครองอัคระต่อมาอีก 9 ปี จนกระทั่งพ่ายแพ้ในยุทธการแห่งปณิปัต (Battle of Panipat) ในปี ค.ศ. 1526 

จากนั้นมาระหว่างปี ค.ศ. 1540 ถึง ค.ศ. 1556 เจ้าเชื้อสายอัฟกานิสถานได้เข้าปกครองเมืองแทนเริ่มจากเจ้าเชอร์ชาห์สุรี (Sher Shah Suri) และเจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์ (Hem Chandra Vikramaditya) ราชาแห่งชาวฮินดู ก่อนที่จะเริ่มโด่งดังในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุล อันยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1556 ถึง ค.ศ. 1658 อันเป็นช่วงกำเนิดของโบราณสถานสำคัญในปัจจุบัน อาทิ  ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ป้อมอัคระ(Akra Fort) และฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehpur Sikri) ซึ่งโบราณสถานโมกุลทั้งสาม แห่งนี้ได้ถูกยกขึ้นเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก