โรมอันเป็นนิรันด์

โรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลี และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลัตซีโย มีประชากรราว 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในเขตตัวเมือง ซึ่งมีความงดงามของสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก

Fontana di Trevi, Piazza di Trevi, Roma, RM, Italia  Photo by   Michele Bitetto

ความงดงามของสถาปัตยกรรมในกรุงโรมแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือยุคอารยธรรมโรมันรุ่งเรือง และสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือยุคเรอแนซ็องส์ ราวศตวรรษที่ 14-17 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมยุคใหม่ การไปเยือนกรุงโรมคือการซึมซับประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรปที่ย้อนอดีตไปกว่า 2,000 ปี คงดีไม่น้อยหากเราเตรียมการก่อนจะได้ไปเห็นนครอันเป็น นิรันดร์ ซึ่งพร้อมจะร่ายบทกวีให้เราฟัง ขณะที่กวาดสายตาไปยังอิฐแต่ละก้อน หรือซากปรักหักพังที่ชวนให้อดฉงนใจไม่ได้ว่ามนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร

พ.ศ.2550 กรุงโรมมีผู้มาเยือนมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในสหภาพยุโรป สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” หรือ “All Road Leads to Rome” ซึ่งกล่าวถึงความเกรียงไกรในอดีต เมื่อประมาณ 27 ปีก่อน คริสตศักราช สมัยที่จักรพรรดิออคเตเวียน หรือออกุสตุสผู้ยึดครองอียิปต์สำเร็จ ได้แผ่อิทธิพลของอาณาจักรโรมันไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์ และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์ จึงมีการสร้างถนนเพื่อเชื่อมเมืองต่างๆ เข้ามายังกรุงโรม ซึ่งเดิมมี 2 ชนชาติอาศัยอยู่ก่อน คือชาวกรีกกับอีทรัสกัน

Rome City, Photo by Spencer Davis

จากท่าอากาศยานเลโอดาร์โน ดา วินชี-ฟีอูมีชีโน หรือเรียกสั้นๆ ว่าสนามบินโรม จะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที เดินทางเข้าสู่ตัวเมือง หากสัมภาระไม่รุงรังคุณสามารถใช้บริการรถไฟด่วน Leonardo Express ราคาประมาณ 9.5 ยูโร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที มาลงที่สถานี Termini Station ส่วนการเดินทางในโรมนั้นสามารถซื้อ Roma Pass แบบ 48 ชั่วโมง เข้าชมพิพิธภัฑณ์หรือโบราณสถานได้ 1 แห่ง ในราคา 28 ยูโร หรือแบบ 72 ชั่วโมง เข้าชมสถานที่สำคัญได้ 2 แห่ง ราคา 38.5 ยูโร (ทั้งสองแบบไม่สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์วาติกันได้) แต่ถ้าไม่เน้นการเข้าไปชมในโบราณสถาน จะซื้อตั๋วรถแบบเหมาวันก็ตกวันละ 6 ยูโร หรือถ้าซื้อเป็นเที่ยว ก็เที่ยวละ 1.5 ยูโร มีผู้แนะนำว่าซื้อ Rome Pass ดีกว่า แค่ไม่ต้องไปยืนต่อแถวซื้อตั๋วเข้าชมโคลอสเซียมก็ถือว่าคุ้มแล้ว

กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว

ฉันใดก็ฉันนั้น กรุงโรมไม่สามารถชมให้ทั่วได้ในวันเดียวเช่นกัน ไหนๆ มาถึงแล้วก็เก็บเกี่ยวเรื่องราวและประสบการณ์ให้ครบถ้วน โบราณสถานและพิพิธภัณฑ์หลายแห่งมีค่าเข้าชม แต่มาถึงโรมทั้งทีถ้าไม่ชมให้ถึงที่ กลับไปก็คงต้องมานั่งเสียดาย

Colosseum, Rome, Italy Photo by David Köhler 

ทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน คือ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่เป็นต้นแบบของอัฒจันทร์กีฬาในปัจจุบัน ก่อสร้างโดยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน แต่สร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์รูปวงรีอายุกว่า 2,000 ปีก่อสร้างด้วยคอนกรีตจากหินภูเขาไฟ วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร มีทางเข้าออกถึง 80 ช่อง ออกแบบให้มีระบบการระบายน้ำที่ดี ในอดีตสถานที่แห่งนี้มีการคุมขังนักโทษที่รอการประหารไว้กับสิงโตที่หิวโซ ถ้านักโทษเอาชนะสิงโตได้ก็จะได้รับอิสรภาพ นอกจากนี้ยังให้นักโทษและทาสได้มาประลองฝีมือกันเองด้วย ใครที่สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูง ไม่ใช่ว่าคนสมัยนั้นป่าเถื่อนแต่เป็นยุคแห่งนักรบ ผู้คนจึงต้องฝึกฝนความอดทน ความกล้าหาญ ไม่กลัวแม้แต่ความตายที่อยู่ตรงหน้าจึงจะสามารถมีชีวิตรอดได้

Piazza della Rotonda, Rome, Metropolitan City of Rome, Italy Photo by Gabriella Clare Marino 

หนึ่งในสิ่งก่อสร้างสมัยโรมันที่ยังคงอยู่ในสภาพดี นับตั้งแต่มีการสร้างใหม่ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2 ก็ยังคงสภาพสถาปัตยกรรมโรมันที่สมบูรณ์ที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับมหาวิหารแพนธีออน มีตั้งแต่เสาหินแกรนิตที่เห็นเรียงตัวด้านหน้าเหมือนวิหารกรีก ล้วนทำจากหินก้อนเดียว ด้านในซี่งเป็นหลังคาโดมขนาดใหญ่ก็ไม่มีเสาค้ำยันเพื่อรับน้ำหนักเลย ตรงกลางโดมมีช่องที่เรียกว่าโอคูลุส แปลว่าตา สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นนาฬิกาแดด เมื่อวัดความสูงของช่องตาได้ 43.3 เมตร เท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องซึ่งวัดได้ 43.3 เมตร เช่นเดียวกับการออกแบบอาคารมีความกว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุตเท่ากันเป๊ะ ช่างน่าทึ่งในวิสัยทัศน์ของมาร์คัส วิพซานิอัส อกริพพา (Marcus Vipsanius Agrippa) ที่สามารถสร้างเทวสถานที่งดงาม สมกับการเป็นสถานที่ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ในอดีต

Trevi Fountain, Rome, Italy, Photo by Jeff Ackley

เชื่อแน่ว่าที่หลายคนอยากไปเยือนกรุงโรมสักครั้ง เพื่อจะได้เห็นน้ำพุเทรวีแล้วอธิษฐานโยนเหรียญข้ามหัวไหล่ (โยนไปทางด้านหลัง) ลงไปในน้ำพุ เพราะเชื่อว่าจะสมหวังสิ่งที่ปรารถนา หรือได้กลับมายังกรุงโรมอีกครั้ง น้ำพุเทรวีได้ชื่อว่าเป็นน้ำพุแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม สูง 26.3 เมตร และกว้าง 49.15 เมตร ตามแผนเดิมคาดว่าจะก่อสร้างในสมัยพระสันตะปาปาอูบาร์โนที่ 8 แต่พระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อน จนถึงสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาที่ 12 ได้จัดให้มีการประกวดแบบ ซึ่งสถาปนิกนิโคลา  ซาลวี่ (Nicola Salvi) ได้รับงานออกแบบและเริ่มดำเนินการในปีค.ศ.1732 แต่ซาลวี่เสียชีวิตก่อน

จนในที่สุดน้ำพุก็สร้างสำเร็จในปี ค.ศ.1762 โดย Giuseppe Pannini และคณะ จุดเด่นที่ตรึงตราคือรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูนหรือเทพเจ้าโพไซดอน ประทับยืนบนม้าศึกทรงหอยเชลล์ ที่ชักลากด้วยม้าสองตัว ผู้ควบคุมม้าคือไตรตันบุตรของเทพเจ้าโพเซดอน นอกจากนี้ยังมีความงดงามจากรูปปั้นเทพเจ้าโดยรอบ ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ “Three Coins in the Fountain” ซึ่งน่าจะมีอิทธิพลต่อการโยนเหรียญ ซึ่งทางการได้นำไปช่วยคนยากจน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหรียญที่โยนเข้าไปจึงไม่เต็มน้ำพุเสียที

Basilica dei Santi XII Apostoli – Rome (Church of the Twelve Holy Apostles) Photo by  Ágatha Depiné

ไม่ไกลจากบันไดสเปนยังมีลานชื่อฟอนตานา เดลลา บาร์คัชชา (Fontana della Barcaccia) ซึ่งเป็นน้ำพุแบบบาโรกยุคต้น สร้างเป็นรูปทรงเรือโบราณ ซึ่งพระสันตะปาปาอูบาร์โนที่ 8 มีดำริให้สร้างจำลองจากเรือที่ถูกพัดพามาจากแม่น้ำไทเบอร์คราวน้ำท่วมใหญ่ บันไดสเปนยังอยู่ใกล้กับถนน Via Condotti ซึ่งเป็นถนนสายช้อปปิ้งของกรุงโรม ในปี ค.ศ.1953 ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday ได้พาออร์เดรย์  เฮปเบิร์น กับเกรกอรี่ เพ็ค คู่ขวัญมาถ่ายฉากสำคัญซึ่งทำให้บันไดสเปนเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ชมชาวอเมริกัน

Basilica dei Santi XII Apostoli – Rome (Church of the Twelve Holy Apostles) Photo by  Ágatha Depiné

จัตุรัสโรมัน ตั้งอยู่ระหว่างเนินพาเลติเน (Palentine Hill) กับเนินแคปิโตลิเน (Capitoline hill) บริเวณนี้เคยเป็นศูนย์กลางอารยธรรมโรมัน ซึ่งยังคงเหลือร่องรอยของตึกรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐโรมันให้ชม สิ่งก่อสร้างในบริเวณนี้มีหลายอย่าง รวมทั้ง เทวสถานแห่งอันโตนินัส และฟาอัสตินา ระตูชัยเซ็พติมิอัสเซเวอรัส เป็นต้น หากมาถึงจุดนี้แล้วอย่าลืมหาโอกาสขึ้นไปชมจากมุมสูงซึ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของศูนย์กลางอารยธรรมโบราณที่งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

Vatican City, Photo by Caleb Miller 

นครวาติกัน จัดว่าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก มีอาณาเขต 0.44 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นประมุขของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีศูนย์กลางคือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St.Peter’s Basilica) และมีสิ่งที่น่าสนใจคือพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum) ซึ่งรวบรวมศิลปะไว้มากมาย แนะนำให้จองตั๋วออนไลน์ราคา 16 ยูโร รวมค่าจองไปอีก 4 ยูโร เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องมารอต่อคิวยาวตั้งแต่ก่อน 9.00 น. ค่าเข้าชมนั้นแสนคุ้ม แค่ได้ชมห้องสุดท้ายที่ชื่อว่าโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) ก็คุ้มแล้ว ภาพวาดบนเพดานในห้องนี้คือฝีแปรงของศิลปินระดับโลก มิเกลันเจโล (ไมเคิล แองเจโล) มีภาพที่โด่งดังคือ The Creation of Adam ซึ่งตามในพระคัมภีร์ อดัมก็คือมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีบันไดวนซึ่งหลายคนจะต้องถ่ายรูปกลับมา ด้วยความสวยงามน่าพิศวง คล้ายกับวงกลมของก้นหอย ชวนให้นึกไปถึงรูปทรงก้นหอยที่มีอยู่ในจักรวาล

Vatican City, Photo by Photoholgic 

ส่วนมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์แนะนำว่าให้วางแผนเข้าชมในช่วงเช้าจะดีกว่า เพราะตอนบ่ายคิวยาวมากจนคุณอาจจะไม่อยากอยู่รอ ดังนั้นการซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้าทางออนไลน์จึงเป็นข้อดีที่ว่า คุณสามารถจัดแบ่งเวลาเที่ยวชมสถานที่สำคัญได้อย่างครบถ้วน

กรุงโรม อิตาลี ยังมีสถานที่มากมายอีกหลายแห่งให้เที่ยวชม ไม่ว่าจะเป็นการรื่นรมย์ไปบนถนนช้อปปิ้งอย่าง Via Condotti ซึ่งเป็นถนนอันหรูหราที่สุดสายหนึ่งของโลก เป็นที่ตั้งของบูติกทันสมัยมากมาย หรือ Via del Corso ก็เป็นอีกเส้นที่นักช้อปต้องระวังกระเป๋าสตางค์ให้ดี เพราะเงินอาจจะหายได้จากอาการตามใจตัวเองของคุณ Sant’ Anselmo Church มีโดมอันสวยงาม และยังมีย่านต่างๆ สำหรับนักสำรวจเมืองเก่า ที่ให้คุณรื่นรมย์ในรสชาติกาแฟ และอาหาร อย่างย่านอาเวนติโน ก็เหมาะกับการเดินเล่น ชมเมืองเก่า แต่ถ้าตั้งหลักไม่ถูก นึกอะไรไม่ออก ให้กลับมาที่สเตซิโอเน แตร์มินิ และย่านริโอเน มอนติ ซึ่งเป็นจุดหมายยอดเยี่ยมที่คุณจะเริ่มนับหนึ่งในการชมนครอันเป็นนิรันดร์